เรื่องเบรกเอามาฝากทุกๆท่านมีประโยชน์มากครับ

เนื้อความ : [ คัดลอก จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 19-20 กันยายน 2541 ]

เบรก : ต้องหยุดให้ได้



รถยนต์ไม่เพียงแต่ต้องพัฒนาให้แรงเร็วและดูแลให้ทะยานไปได้ ระบบเบรกก็ต้องเยี่ยม และได้รับการดูแล ควบคู่กันเสมอ
แล่นได้ก็ต้องหยุดได้

ระบบเบรก - BRAKE
หรือห้ามล้อมีหน้าที่ชะลอความเร็วหรือหยุดรถยนต์ตามการสั่งงานของผู้ขับ โดยมีพื้นฐาน คือ
สร้างแรงเสียดทานขึ้นด้วยผ้าเบรก ซึ่งกดเข้ากับจานหรือดุมเบรกที่หมุนตามล้อ

แรกเริ่มในยุคที่รถยนต์เพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว การสั่งให้ผ้าเบรกกดหรือคลาย เป็นการใช้ระบบกลไก เช่น
ก้านโยกหรือสะลิง คล้ายระบบเบรกของจักรยาน ซึ่งสะดวกในการออกแบบและทำงาน
แต่ขาดความแม่นยำในการควบคุมจากผู้ขับ เช่น สะลิงยืดหรือต้องปรับตั้งบ่อย
ต่อมาจึงมีการออกแบบให้ระบบเบรกมีการใช้ของเหลว
ในการถ่ายทอดการสั่งงานจากผู้ขับไปยังการกดผ้าเบรกเพื่อสร้งแรงเสียดทาน ซึ่งกลายเป็นระบบเบรกพื้นฐานมาจนถึงทุกวันนี้
แล้วจึงพัฒนาส่วนปลีกย่อยกันออกไป แต่ไม่ว่าจะมีรายละเอียดของอุปกรณ์อย่างไร ก็ยังใช้การถ่ายทอดด้วยของเหลว
(น้ำมันเบรก) เป็นหลัก

หลักการถ่ายทอดการควบคุมน้ำมันเบรกจากการกดเท้าลงบนแป้นเบรก เพื่อสั่งให้ผ้าเบรก ขยับตัวกดจานหรือดุมเบรก
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ คือ นำกระบอก เข็มฉีดยามา 2 อัน ดูดน้ำไว้ทั้ง 2 กระบอก
แล้วต่อท่อยางขนาดเล็กที่บรรจุน้ำไว้เต็มเข้ากับหัวของ กระบอก ฉีดยาทั้ง 2 น้ำทั้งหมดก็กลายเป็นเนื้อเดียวกัน
เมื่อกดแกนของกระบอกฉีดยา ด้านหนึ่งลง (เสมือนมีการกดแป้นเบรกที่ต่ออยู่กับแม่ปั๊มด้านบน)
น้ำก็จะถูกไล่ผ่านท่อยางขนาดเล็ก ทำให้แกนของกระบอกฉีดยาอีกตัวหนึ่งดันออก (เสมือนกระบอกเบรกที่ล้อดันผ้าเบรก
ออกไป) จะเห็นว่าของเหลวในระบบต้องไม่มีการรั่วซึม ลูกยางรีดในกระบอกต้องกักน้ำได้ และไม่มีอากาศปะปนในระบบ
การถ่ายเทแรงดันจึงจะเป็นไปอย่างสมบูรณ์

พื้นฐานของระบบเบรก
ประกอบด้วยอุปกรณ์หลักอย่างน้อยดังนี้ คือ แม่ปั๊มบน-ตัวสร้างแรงดัน ท่อโลหะและ ท่ออ่อน
กระบอกเบรกที่ล้ออย่างน้อยล้อละ 1 กระบอก ผ้าเบรก และจานเบรก (ดิสก์) หรือดุมเบรก (ดรัม)
แล้วค่อยมีการพัฒนาเสริมอุปกรณ์อื่นเข้ามา เช่น แม่ปั๊มบนตัวเดียวแต่แบ่งเป็น 2 วงจรภายใน เป็นล้อหน้า-หลัง
หรือทแยงหน้าซ้าย-หลังขวา หน้าขวา-หลังซ้าย
เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเมื่อระบบย่อยหนึ่งบกพร่องจะได้ยังเหลือแรงเบรกอยู่บ้าง, หม้อลมเบรกช่วยผ่อนแรงในการกดแป้นเบรก
โดยการใช้แรงดูดสุญญากาศที่จากท่อไอดี ของเครื่องยนต์มีหลายขนาดเล็กหรือใหญ่ไปก็ไม่ดี, วาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก
ติดตั้งต่อจากแม่ปั๊มเบรกตัวบนก่อนที่น้ำมันเบรกจะถูกส่งไปยังล้อต่าง ๆ ช่วยให้แรงดัน น้ำมันเบรกกระจายไปอย่างเหมาะสม,
เพิ่มจำนวนกระบอกเบรกเพื่อเพิ่มแรงกดที่ผ้าเบรก, เพิ่มขนาดจาน-ดุมเบรก
พร้อมเพิ่มพื้นที่ของผ้าเบรกให้สามารถสร้างแรงเสียดทานได้มากขึ้น, เอบีเอส ป้องกันการล็อกของล้อ ฯลฯ

แม่ปั๊มเบรก
ทำหน้าที่สร้างแรงดันน้ำมันเบรกเมื่อมีการสั่งจากผู้ขับ ส่วนใหญ่ติดตั้งรวมกับหม้อลมเบรก ภายในประกอบด้วยลูกยางหลายลูก
และสปริงโดยจะคืนตัวเองเมื่อไม่มีการกดแป้นเบรก
อาการการเสีย คือ ไม่สามารถสร้างแรงดันได้จากลูกยางที่หมดสภาพ ไม่สามารถดัน รีดน้ำมันได้ หรือรั่วย้อนออกมา
หรือเสียทั้งตัวลูกยางพร้อมตัวกระบอกเป็นรอย การซ่อมจึงมีทั้งแบบเปลี่ยนเฉพาะลูกยางพร้อมชุดซ่อม หรือเปลี่ยนทั้งตัว

หม้อลมเบรก
เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงกดแป้นเบรกให้เบาเท้าขึ้น กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ของรถยนต์ยุคใหม่ไปแล้ว
ไม่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำมันเบรก โดยใช้แรงดูดสุญญากาศ
จากท่อร่วมไอดีของเครื่องยนต์มาช่วยดันแผ่นยางไดอะเฟรมและแกนแม่ปั๊มตัวบน เมื่อมีการกดแป้นเบรก
โดยที่ประสิทธิภาพที่แท้จริงของระบบเบรกยังขึ้นอยู่กับ อุปกรณ์อื่นไม่ใช่เฉพาะที่ตัวหม้อลม ขนาดของหม้อลมต้องพอเหมาะ
ขนาดเล็กไป ก็หนักเท้าเหมือนเบรกไม่ค่อยอยู่ ขนาดใหญ่ไปก็เบาเท้า แต่แรงกดที่มากเกินไป ในขณะที่อุปกรณ์อื่นยังเหมือนเดิม
ก็อาจทำให้ล้อล็อกได้ง่ายเมื่อเบรกบนถนนลื่น หรือกะทันหัน
อาการเสีย ที่พบบ่อยคือ ผ้ายางไดอะเฟรมภายในรั่ว เมื่อกดแป้นเบรกจะแข็งขึ้น และเครื่องยนต์จะสั่นเหมือนอาการท่อไอดีรั่ว
ทดสอบโดยกดแป้นเบรกในขณะจอด และติดเครื่องยนต์เดินเบาไว้ หม้อลมเบรกนรั่วแต่แม่ปั๊มตัวบนดี ยังสามารถใช้ระบบเบรก
ตามปกติได้ แต่จะหนักเท้าในการกดแป้นเบรกเท่านั้น การซ่อมหม้อลมบางรุ่นมีอะไหล่
ให้เปลี่ยนเฉพาะผ้ายางไดอะเฟรมพร้อมชุดซ่อมแต่ส่วนใหญ่มักต้องเปลี่ยนทั้งลูก ซึ่งมี 2 ทางเลือก ทั้งของใหม่และเก่าเชียงกง

ท่อน้ำมันเบรก
ประกอบด้วยท่อโลหะ (เหล็ก-ทองแดง) ขนาดเล็กในเกือบทุกจุดต่อ แล้วมีท่ออ่อน
ที่ให้ตัวได้ต่อจากท่อโลหะบนตัวถังไปยังล้อที่ขยับตลอดเวลาที่ขับ
อาการเสีย คือ ท่ออ่อนบวมหรือรั่ว ส่วนท่อโลหะนั้นแทบไม่พบว่าเสียเลย ท่ออ่อนทั่วไป
ผลิตจากยางทนแรงดันสูงทนทานเพียงพอสำหรับการใช้งานปกติ แต่ก็มีแบบพิเศษ
ที่นิยมใช้ในรถแข่งมาจำหน่ายเป็นแบบท่อหุ้มสเตนเลสถักซึ่งทนทั้งการฉีกขาด จากภายนอกหรือแตกด้วยแรงดันจากภายใน
ซึ่งไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าอยากจะใส่ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย และอาจลดอาการหยุ่นเท้าให้การตอบสนองรวดเร็วขึ้นเล็กน้อย
ถ้าท่ออ่อนเดิมขยายตัวได้บ้างเมื่อกดเบรก

กระบอกเบรกที่ล้อ
ทำหน้าที่รับแรงดันน้ำมันเบรกที่ถูกดันมาเพื่อดันลูกสูบเบรกภายในกระบอกแล้วไปกด ผ้าเบรก มีอย่างน้อย 1 กระบอก 1 ลูกสูบ
(POT) ต่อ 1 ล้อ ภายในประกอบด้วยลูกสูบ พร้อมลูกยาง หรืออาจมีสปริงด้วย การมีขนาดของกระบอกเบรกใหญ่หรือจำนวน
กระบอกเบรก ต่อ 1 ล้อมาก ๆ (2-4 POT) จะทำให้มีแรงกดไปสู่ผ้าเบรกมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้แม่ปั๊มตัวบนที่รองรับกันได้ดีด้วย
อาการเสีย คือ ไม่สามารถรับแรงดันจากลูกยางหมดสภาพได้ จนไม่สามารถดันลูกสูบเบรก ออกไปได้เต็มที่
หรือน้ำมันเบรกรั่วซึมออกมา และเสียทั้งตัวลูกยางพร้อมตัวกระบอกเป็นรอย
การซ่อมจึงมีทั้งแบบเปลี่ยนเฉพาะลูกยางและชุดซ่อมหรือเปลี่ยนทั้งตัว

ดิสก์ / ดรัม
เป็นชุดเบรกที่ล้อ คือ อุปกรณ์ชิ้นที่หมุนพร้อมล้อ และรับแรงกดผ้าเบรกผลิตจากวัสดุ
เนื้อแข็งเรียบแต่ไม่ลื่นเพื่อให้ผ้าเบรกกดอยู่ได้ ทนความร้อนสูง และไม่สึกหรอง่าย

ดิสก์ / ดรัม มีจุดเด่นและด้อยต่างกัน
พื้นฐานดั้งเดิมของรถยนต์ส่วนใหญ่เมื่อหลายสิบปีก่อนนิยมใช้แบบดรัม-DRUM หรือแบบดุมครอบ
ต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้แบบดิสก์-DISC หรือแบบจาน เพราะความเหนือชั้น ในประสิทธิภาพ
แล้วก็ยังพัฒนาตัวดิสก์และอุปกรณ์อื่นให้ดีขึ้นไปอีก
ดรัมเบรก มีลักษณะเป็นฝาครอบทรงกลมมีผ้าเบรกโค้งแบนเป็นรูปเกือบครึ่งวงกลม ติดตั้งภายใน ตัวดรัม
ถ้ามองจากภายนอกทะลุกระทะล้อเข้าไปจะเห็นฝาครอบโลหะทรงทึบ โดยไม่เห็นหน้าสัมผัสและชุดเบรกที่ถูกครอบไว้
เมื่อมีการเบรก จะมีการแบ่งผ้าเบรก ออกไปดันกับด้านในของตัวดรัม โดยเปรียบเทียบง่าย ๆ คือ คนเป็นกระบอกเบรก
ยืดแขนออกไปแล้วมีผ้าเบรกติดอยู่ที่ฝ่ามือ มีฝาครอบหมุนอยู่ เมื่อมีการเบรกก็ยืดแขน ดันฝ่ามือออกไปให้ฝาครอบหมุนช้าลง
ดรัมเบรกมีจุดเด่น คือ ต้นทุนต่ำ ทนทาน มีพื้นที่ของผ้าเบรกมาก แต่มีจุดด้อยคือ กำจัดฝุ่นออกจากตัวเองได้ไม่ดี
อมความร้อน เพราะเป็นเสมือนฝาครอบอยู่ ซึ่งจะทำให้ แรงเสียดทานของผ้าเบรกลดลงหรือผ้าเบรกไหม้
และเมื่อใช้งานไปสักพัก หน้าสัมผัสกับผ้าเบรกหรือดรัมอาจไม่แนบสนิทกัน ต้องตั้งระยะห่างบ่อย
หรือแม้แต่มีการปรับตั้งโดยอัตโนมัติก็อาจยังไม่สนิทกันนัก จนขาดความฉับไวในการทำงาน มีผ้าเบรกให้เลือกน้อยรุ่นน้อยยี่ห้อ
และเมื่อลุยน้ำจะไล่น้ำออกจากดรัมและผ้าเบรกได้ช้า

ดิสก์เบรก
มีลัษณะเป็นจานแบนกลม มีผ้าเบรกแผ่นแบนติดตั้งอยู่รวมกับชุดก้านเบรก (คาลิเปอร์)
แล้วเสียบคร่อมประกบจานเบรกซ้าย-ขวา ถ้ามองจากภายนอกทะลุ กระทะล้อเข้าไป
จะเห็นป็นจานโลหะเงาเพราะถูกผ้าเบรกถูทุกครั้งที่เบรก และมีชุดก้านเบรกคร่อมอยู่ ด้านใดด้านหนึ่ง
เมื่อเบรกจะมีการบีบผ้าเบรกเข้าหากัน ดันเข้ากับตัวดิสก์ ต่างจากแบบดรัมที่เเบ่งตัวผ้าเบรกออกโดยเปรียบเทียบง่าย ๆ คือ
คนเป็นกระบอกเบรก มีผ้าเบรกอยู่ที่ฝ่ามือ ทำแขนเหมือนกำลังยกมือไหว้แต่ไม่ชิดสนิทกันมีแผ่นกลม
หมุนแทรกอยู่ระหว่างมือเมื่อมีการเบรกก็ประกบฝ่ามือเข้าหากัน

ดิสก์เบรกมีจุดเด่นคือ ประสิทธิภาพสูงแม้จะมีพื้นที่สัมผัสของผ้าเบรกแคบกว่าแบบดรัมในขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง เท่ากัน
ทำงานฉับไว ควบคุมระยะห่างและหน้าสัมผัสของผ้าเบรกกับตัวดิสก์ได้ดี โดยไม่ต้องปรับตั้ง
ไม่อมฝุ่นเพราะทำความสะอาดตัวเองได้ดี ไล่น้ำออกจากตัวดิสก์ และผ้าเบรกได้เร็ว
แต่มีจุดด้อยที่ไม่สามารถนับเป็นจุดด้อยได้เต็มที่นัก เพราะได้ใช้กัน แพร่หลายไปแล้ว คือ ต้นทุนสูง
ผ้าเบรกหมดเร็วโดยมีรายละเอียดย่อยออกไปอีกเช่น มีการพัฒนาการระบายความร้อน
เพราะยิ่งผ้าเบรกหรือตัวดิสก์ร้อนก็ยิ่งมีแรงเสียดทาน ต่ำลง หรือผ้าเบรกไหม้
ด้วยการทำให้พื้นที่ของจานเบรกสัมผัสกับอากาศมีการถ่ายเทกันมากขึ้น โดยการผลิตเป็นจานหนา
แล้วมีร่องระบายความร้อนแทรกอยู่ตรงกลาง เสมือนมีจาน 2 ชิ้น มาประกบไว้ห่าง ๆ กัน
โดยรถยนต์ในสายการผลิตส่วนใหญ่นิยมใช้ระบบดิสก์แบบ มีครีบระบายล้อหน้า เพราะเบรกหน้ารับภาระในการเบรกมากกว่า
ส่วนการเจาะรู และเซาะร่อง มักนิยมในกลุ่มรถยนต์ตกแต่งหรือรถแข่ง เพราะสร้างแรงเสียดทานได้สูง
แต่กินผ้าเบรกและแค่มีครีบระบายก็เพียงพอแล้ว

ส่วนการขยายขนาดของดิสก์เบรกให้มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเบรก
เพราะสามารถเพิ่มพื้นที่ของผ้าเบรกพร้อมใช้ก้ามเบรกให้ใหญ่ขึ้นได้
ซึ่งมีการระบายความร้อนดีขึ้นจากพื้นที่สัมผัสอากาศที่มากขึ้น นับเป็นหลักการที่เป็นจริง แต่ในการใช้งาน
มักมีขีดจำกัดที่ตัวดิสก์และก้ามเบรกต้องไม่ติดกับวงในของกระทะล้อ
รถแข่ง หรือรถยนต์ที่ใช้กระทะล้อใหญ่ ๆ จึงจะเลือกใช้วิธีขยายขนาดของดิสก์เบรกนี้ได้

นับเป็นเรื่องปกติที่ระบบดิสก์เบรกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใกล้เคียงกับระบบดรัมเบรก
ทั้งที่มีพื้นที่หน้าสัมผัสของผ้าเบรกน้อยกว่า ด้วยจุดเด่นข้างต้น ระบบดิสก์เบรกจะให้ ประสิทธิภาพในการเบรกสูงกว่าดรัมเบรก
ตัวดิสก์และดรัมเบรกผลิตจากวัสดุเนื้อแข็งกว่า ผ้าเบรกเพื่อความทนทาน แต่ก็ยังมีการสึกหรอจนไม่เรียบขึ้นได้
เพราะผ้าเบรกก็มีความแข็ง พอสมควร จึงกัดกร่อนตัวดิสก์หรือดรัมเบรกได้ เมื่อผ้าเบรกหมด ไม่ใช่สูตรสำเร็จว่า
ต้องเจียร์เรียบตัวดิสก์หรือดรัมเบรกทุกครั้งตามสไตล์ช่างไทยที่ต้องการเงินเพิ่ม เพราะต้องดูว่ายังเรียบร้อยพอไหม
ถ้าเป็นรอยมากค่อยเจียร์เพราะดิสก์หรือดรัมเบรก มีขีดจำกัดในแต่ละรุ่นว่าต้องไม่บางเกินกำหนดเจียร์มาก ๆ
ก็เปลืองและถ้าไม่เรียบ ก็จะทำให้ผ้าเบรกสัมผัสได้ไม่สนิท

การเลือกติดตั้งระบบเบรกของผู้ผลิตรถยนต์ในแต่ละล้อ มีหลักการพื้นฐาน คือ
ประสิทธิภาพของระบบเบรกล้อคู่หน้าต้องดีกว่าล้อหลังเสมอ เพราะเมื่อมีการเบรก น้ำหนักจะถ่ายลงด้านหน้า
ล้อหลังจะมีน้ำหนักกดลงน้อยกว่า ระบบเบรกหน้าจึงต้อง ทำงานได้ดีกว่า มิฉะนั้น เมื่อกดเบรกแรง ๆ หรือเบรกบนถนนลื่น
อาจจะเกิดการปัดเป๋ หรือหมุนได้เสมือนเป็นการดึงเบรกมือ ดังนั้น ถ้าอยากจะตกแต่งระบบเบรกเพิ่มเติม
ก็ต้องเน้นว่าประสิทธิภาพของเบรกหลังต้องไม่ดีกว่าเบรกหน้า กลุ่มที่เปลี่ยนเฉพาะ จากดรัมเบรกหลังเป็นดิสก์
โดยไม่ยุ่งกับดิสก์เบรกหน้าเดิม ต้องระวังไว้ด้วย

รถยนต์ในอดีตเลือกติดตั้งระบบดรัมเบรกทั้ง 4 ล้อ แล้วจึงพัฒนามาสู่ดิสก์เบรกหน้า ดรัมเบรกหลัง และสูงสุดที่ดิสก์เบรก 4
ล้อแต่ก็ยังยึดพื้นฐานเดิมคือ เบรกหน้าต้องดีกว่า เบรกหลังเสมอ
แม้จะเป็นดิสก์เบรกทั้งหมดแต่ดิสก์เบรกหน้ามักมีขนาดใหญ่กว่า มีครีบระบายความร้อน มีผ้าเบรกขนาดใหญ่ และมีแรงกดมาก
ๆ จากกระบอกเบรก ขนาดใหญ่ โดยดิสก์เบรกหลังมักจะเป็นแค่ขนาดไม่ใหญ่นัก ไม่มีครีบระบาย มีผ้าเบรกขนาดไม่ใหญ่
และมีแรงกดไม่มากจากกระบอกเบรกขนาดเล็กเพื่อมิให้มีประสิทธิภาพสูงเกินเบรกหน้า

ผ้าเบรก
เป็นอุปกรณ์สร้างแรงเสียดทานกดเข้ากับดิสก์หรือดรัมเบรก โดยมีพื้นฐานคือ
เนื้อวัสดุของตัวดิสก์หรือดรัมเบรกต้องแข็งเพื่อไม่ให้สึกหรอมาก แต่ต้องมีผิวที่ไม่ลื่น
ส่วนผ้าเบรกต้องมีเนื้อนิ่มกว่าตัวดิสก์หรือดรัม เพื่อให้มีแรงเสียดทานสูงหรือสึกหรอมากกว่า เพราะเปลี่ยนได้ง่าย
โดยมีการผลิตขึ้นจากวัสดุผสมหลายอย่าง และอาจผสมกับโลหะเนื้อนิ่ม เพื่อให้เบรกในช่วงความเร็วสูงได้ดี ในอดีตใช้แร่ใยหิน
แอสเบสตอสเป็นวัสดุหลัก ของผ้าเบรก เมื่อผ้าเบรกสึกจะเป็นผงสีขาวไม่เกาะกระทะล้อแต่สร้างมลพิษในอากาศ
ทำลายระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต ปัจจุบันจึงหันมาใช้แกรไฟต์คาร์บอนแทน เมื่อผ้าเบรกสึกจะมีผงสีดำออกมาเกาะเป็นคราบ
ดูสกปรก แต่ไม่อันตราย

ผ้าเบรกมีหลายระดับ ประสิทธิภาพและความแข็ง ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ ยิ่งนิ่มยิ่งสร้างแรงเสียดทานได้ง่าย
แต่ไม่ทนความร้อนอาจลื่น หรือไหม้ในการเบรกบ่อย ๆ หรือเบรกในช่วงความเร็วสูง และยิ่งแข็งยิ่งทนร้อน
เบรกดีในช่วงความเร็วสูง แต่ต้องการการอุ่นให้ร้อนก่อน หรือเบรกช่วงความเร็วต่ำไม่ค่อยอยู่
จึงต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการขับและสมรรถนะของรถยนต์

ผ้าเบรกเป็นอุปกรณ์หนึ่ง ถ้าเดิมใช้งานแล้วไม่พึงพอใจก็สามารถเลือกให้แตกต่างจาก ผ้าเบรกมาตรฐานเดิมได้
เพราะผู้ผลิตรถยนต์ไม่จำเป็นต้องผลิตทุกชิ้นส่วนขึ้นเอง สามารถหาผู้ผลิตชิ้นส่วนเฉพาะรายย่อย (SUPPLYER)
ผลิตชิ้นส่วนส่งให้ในราคาถูกได้ เพราะมีปริมาณการผลิตสูง เมื่อมีการผลิตส่งให้ผู้ผลิตรถยนต์ ก็อาจจะผลิตอะไหล่
ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน หรือเหนือกว่า ตีตราบรรจุกล่องเป็นสินค้าอิสระของตนเอง เพื่อจำหน่ายกับผู้ใช้ทั่วไปด้วย
ผู้ผลิตผ้าเบรกที่เชี่ยวชาญและมีผ้าเบรกหลายรุ่นให้เลือก เช่น FERODO, BENDIX, ABEX, AKEBONO, METALIX,
REBESTOS ฯลฯ

เกรดประสิทธิภาพผ้าเบรก
มีหลายระดับ แบ่งตามการทนความร้อน เพราะการสร้างแรงเสียดทานในการเบรก
ต้องมีความร้อนเกิดขึ้นเมื่อผ้าเบรกร้อนเกินขีดจำกัดประสิทธิภาพจะลดลง ลื่นหรือไหม้
การเลือกต้องขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและสมรรถนะของรถยนต์

เกรดมาตรฐาน S-STANDARD
ใช้กับรถยนต์ทั่วไป ยกเว้นรถยนต์สมรรถนะสูงหรือรถสปอร์ต ส่วนผสมของเนื้อผ้าเบรก สร้างความฝืดได้ง่าย
สามารถลดความเร็วได้ทันที ไม่ต้องการการอุ่นผ้าเบรกให้ร้อนก่อน ทำงานได้ดีเฉพาะช่วงความเร็วต่ำ-ปานกลาง
และมีความร้อนสะสมไม่สูงนัก เมื่อมีการเบรกอย่างต่อเนื่อง อาจลื่นหรือไหม้ได้ง่าย เมื่อต้องเบรกบ่อย ๆ หรือเบรก
ในช่วงความเร็วสูงอย่างรวดเร็ว สาเหตุที่รถยนต์ทั่วไปถูกกำหนดให้ใช้ผ้าเบรกเกรด S เนื่องมาจากโรงงานผู้ผลิต
เพราะส่วนใหญ่ยังต้องมีการใช้งานในเมือง หรือมีการใช้ ความเร็วไม่จัดจ้านนัก แม้จะขับเร็วบ้างหรือกระแทกเบรกแรง ๆ บ้าง
แต่ก็ไม่บ่อย จึงถือว่าเพียงพอในระดับหนึ่ง

เกรดกลาง M-MEDIAM-METAL
รองรับการเบรกในช่วงความเร็วปานกลาง-สูงได้ดี เพิ่มความทนทานต่อความร้อนโดยตรง
และความร้อนสะสมในการเบรกสูงขึ้นกว่าผ้าเบรกเกรด S แต่ยังคงประสิทธิภาพการใช้งาน
ช่วงความเร็วต่ำ-ปานกลางได้ดีเพราะเนื้อผ้าเบรกยังไม่แข็งเกินไป ส่วนมากจะมีส่วนผสม ของโลหะอ่อน
หรือวัสดุที่สามารถสร้างแรงเสียดทานเมื่อมีความร้อนสูงได้ดี เนื้อของผ้าเบรก อาจเป็นสีเงาจากผงโลหะที่ผสมอยู่ รถยนต์ทั่วไป
ถ้าผู้ขับเท้าขวาหนัก แม้ไม่ได้ตกแต่ง เครื่องยนต์ หรือเครื่องยนต์มีพลังแรงสักหน่อย ก็สามารถเลือกใช้ผ้าเบรคเกรด M
แทนเกรด S เดิมได้ เพราะยังสามารถรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบและทุกช่วงความเร็ว โดยอาจมีจุดด้อย
ด้านประสิทธิภาพการเบรกในช่วงที่ผ้าเบรกยังเย็นอยู่ใน 2-3 ครั้งแรก และมีราคาแพงกว่า ผ้าเบรกเกรด S เพียง 20-30
เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เกรดกึ่งแข่ง R-RACING
เป็นผ้าเบรกเกรดพิเศษ ซึ่งถูกผลิตเพื่อรองรับรถยนต์สมรรถนะสูงจัดจ้าน- รถแข่ง เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง
หรือมีความร้อนสะสมที่ผ้าเบรกจากการเบรกถี่ ๆ
เนื้อของผ้าเบรคเกรดนี้มักมีการผสมผงโลหะไว้มากบางรุ่นเกือบจะเป็นโลหะอ่อน เช่น เป็นทองแดงผสมเกือบทั้งชิ้น
การใช้งานในเมืองด้วยความเร็วต่ำ จำเป็นต้องมี การอุ่นผ้าเบรกเกรด R ให้ร้อนก่อน
และเบรกหยุดได้ระยะทางยาวกว่าผ้าเบรกเนื้อนิ่มเกรด S-M ส่วนในช่วงความเร็วสูง ร้อนแค่ไหนก็ลื่นหรือไหม้ยาก
ผ้าเบรกเกรดนี้ ไม่ค่อยเหมาะ กับรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป ยกเว้นพวกรถสปอร์ต หรือรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงจัดจ้านจริง ๆ
เพราะไม่เหมาะกับการใช้งานด้วยความเร็วต่ำ ซึ่งลื่นกว่าผ้าเบรกเกรด S อีกทั้งยังมีราคาแพงกว่าผ้าเบรกเกรด S-M
ไม่น้อยกว่า 3-5 เท่าด้วย

ในการจำหน่ายจริงมักไม่มีการแบ่งผ้าเบรกเกรด S-M-R อย่างชัดเจนไว้บนข้างกล่อง
ในการเลือกใช้จึงต้องเลือกด้วยการสอบถามระดับของผ้าเบรกในยี่ห้อที่สนใจ
ซึ่งมักระบุเพียงว่าเบรกรุ่นนั้นทนความร้อนสูงกว่าอีกรุ่นหนึ่งในยี่ห้อเดียวกันหรือไม่
หรือดูช่วงตัวเลขของค่าความร้อนที่ผ้าเบรกชุดนั้นสามารถทำงานได้ดี เช่น ผ้าเบรก เกรด S-M ทำงานได้ดีตั้งแต่ 0-20
องศาเซลเซียสขึ้นไป ในขณะที่ผ้าเบรกเกรด R มักมีค่าความร้อน เริ่มต้นที่ 50-100 องศาเซลเซียสขึ้นไป
อันหมายถึงการใช้งานในช่วงความร้อนต่ำไม่ดีนั่นเอง ควรเลือกเกรดผ้าเบรกให้ตรงลัษณะการใช้งานอย่างรอบคอบ
และโดยทั่วไปเกรด M น่าสนใจที่สุดเพราะคงประสิทธิภาพการเบรกช่วงความเร็วต่ำไว้ใกล้เคียงกับเกรด S
แต่รองรับความเร็วสูงดีกว่า และราคาไม่แพง ราคาจริงของผ้าดิสก์เบรก 2 ล้อ (4 ชิ้น) เกรด S-M สำหรับรถยนต์เกือบทุกรุ่น
ตั้งแต่ซิตี้คาร์ยันสุดหรูไม่แตกต่างกันมากนัก 800-2,000 บาท คือราคาพื้นฐาน ส่วนดรัมเบรก 2 ล้อ ไม่น่าเกิน 1,000 บาท
(ไม่รวมค่าแรงในการเปลี่ยน)

น้ำมันเบรก
ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดแรงดันแม่ปั๊มบนไปยังกระบอกเบรคทุกล้อ ผลิตจากน้ำมันแร่
สาเหตุที่ไม่ใช่น้ำเปล่าเพราะมีความชื้น เกิดสนิมในระบบได้ง่าย และมีจุดเดือดต่ำ ถ้าของเหลวในระบบเบรกร้อนจัด
ก็จะเดือดจนเกิดอาการ VAPOUR LOCK เพราะกลายเป็นไอแต่ไม่มีทางออก อยู่แต่ในท่อและพยายามจะดันออก
ไม่สามารถถ่ายเทแรงดันได้ตามปกติ
มาตรฐานของน้ำมันเบรก แบ่งตามจุดเดือดและจุดเดือดชื้น สาเหตุที่ต้องมี 2 จุดเดือด เพราะในการใช้งานจริง
ต้องมีความชื้นจากอากาศ และการลุยน้ำแทรกเข้ามาผสม ในน้ำมันเบรกได้ จนมีจุดเดือดต่ำลงเรื่อย ๆ
โดยมีการแบ่งมาตรฐานของน้ำมันเบรก ด้วยอักษรย่อ DOT แล้วตามด้วยตัวเลขเดี่ยว ระบุไว้ข้างกระป๋อง เช่น DOT3, DOT4
มีจุดเดือดและจุดเดือดชื้นสูงสุดในการใช้งานที่ DOT5
รถยนต์ทั่วไปกำหนดใช้น้ำมันเบรก DOT3-4 แต่ถ้าจะใช้ DOT4 ไว้ก็ดี เพราะไม่มีผลเสียใด ๆ
นอกจากราคาของน้ำมันเบรคที่แพงกว่ากันไม่มาก ส่วน DOT5 นั้นสูงเกินกว่าการใช้งานทั่วไป
แต่ถ้าคิดว่าระบบเบรกรถยนต์ของตนร้อนมาก ๆ ก็อาจเปลี่ยนไปใช้ DOT5 ได้
แต่ต้องแน่ใจว่าตัวน้ำมันเบรกไม่มีการกัดกร่อนลูกยางเบรก เพราะในบางกระแสบอกว่า ถ้าระบบเบรกเดิมกำหนดให้ใช้แค่
DOT3-4 ถ้าจะใช้ DOT5 อาจมีปัญหานี้ขึ้นได้ จึงควรตรวจสอบให้ดีก่อนการเลือกใช้ การใช้รถยนต์
ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรเติมผสมน้ำมันเบรกข้ามรุ่นข้ามยี่ห้อหรือข้าม DOT เพราะถ้าไม่เข้าห้องทดลองทางเคมี
จะไม่สามารถทราบได้เลยว่า จะมีปฏิกิริยาทางลบ ต่อกันเมื่อผสมกันหรือไม่ ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกทั้งระบบทุก 1-1.5 ปี
แม้ไม่มีการรั่วซึม เพราะจะเป็นการเอาความชื้นที่ผสมอยู่ในน้ำมันเบรกออกจากระบบ เพื่อป้องกันการกัดกร่อน
จากสนิทที่เกิดจากความชื้น ซึ่งจะทำให้ลูกยางเบรกรั่วได้ง่าย และจะได้ใช้น้ำมันเบรก จุดเดือดสูงต่อ ๆ ไป
กรณีนี้มักถูกมองข้าม เพราะถือว่าน้ำมันเบรกยังไม่รั่ว ทั้งที่ค่าใช้จ่ายไม่กี่ร้อยบาทและทำได้ตามร้านเบรกทั่วไป
เบรกดีแต่เครื่องยนต์ไม่แรง ดีกว่าเครื่องยนต์แรง แต่เบรกไม่ดี

วรพล สิงห์เขียวพงษ์


http://www.geocities.com/Tokyo/Harbor/2093/

[ คัดลอก จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 26-27 กันยายน 2541]

สารพัดคำถามเรื่องเบรก



รถยนต์แล่นได้ก็ต้องหยุดได้ เสาร์-อาทิตย์ที่แล้ว คอลัมน์ MOTORING นำเสนอความรู้ พื้นฐานเรื่องเบรก
ครั้งนี้ต่อเนื่องด้วยสารพัดคำถามที่พบบ่อยเฉพาะเรื่องเบรก

อาการผิดปกติของเบรกที่อันตรายฉับพลัน เป็นอย่างไร

ตามที่เรียกันทั่วไปว่า เบรกแตก คือมีการรั่วไหลของน้ำมันเบรก เช่น ลูกยางเบรกรั่ว
หรือท่อน้ำมันเบรกรั่ว ทำให้มีการถ่ายทอดแรงดัน ไม่ได้เต็มที่คือ
กดแป้นเบรกแล้วผ้าเบรกไม่ถูกดันตามปกติ ทำให้เบรกไม่อยู่ อาการที่เกิดขึ้นให้ทราบคือ
เมื่อกดแป้นเบรกจะกดได้ลึกกว่าปกติ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ว่า การรั่วเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
ถ้ารั่วน้อยก็จะกดแป้นเบรกได้ลึกกว่าปกติลงอย่างช้า ๆ และอาจไม่ได้ลึกจนสุดถ้ายังมีอีกวงจรเหลือ
หรือรั่วที่ชุดกระบอกเบรกเพียงบางล้อ แต่ถ้ารั่วมากก็จะกดแป้นเบรกได้ลึกกว่าปกติลงอย่างรวดเร็ว และอาจกดจนลึกสุด
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเบรกจมลงกว่าปกติ ให้กดแป้นเบรกแบบย้ำแรง ๆ และถี่ ๆ เพื่อให้มีแรงดันเกิดขึ้นบ้าง
พร้อมกับไล่ลดเกียร์ต่ำใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก
(ENGINE BRAKE) เพราะอาการที่พบส่วนใหญ่มักไม่ใช่เป็นการรั่วอย่างรุนแรง และระบบเบรกในรถยนต์ยุคใหม่มักแบ่งเป็น 2
วงจร วงจรละ 2 ล้อ เมื่อรั่วในระบบหนึ่ง อีกระบบหนึ่งก็ยังพอช่วยเบรกได้ พร้อมกับลดเกียร์ต่ำครั้งละ 1 เกียร์ไล่ลงมา
เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรกบ้าง เกียร์อัตโนมัติก็ไล่เกียร์ลงช่วยเบรกได้ โดยเริ่มตั้งแต่
ปิดปุ่ม OD แล้วค่อยเลื่อนมาที่เกียร์ต่ำครั้งละ 1 เกียร์ อย่าข้ามจังหวะ เมื่อความเร็วต่ำลงพอสมควรแล้ว
ก็ให้ใช้เบรกมือดึงแบบกดปุ่มค้าง สลับกับปล่อยถี่ ๆ อย่าดึงแรงอย่างดึงค้างเดี๋ยวล้อล็อก

ต้องดูระดับน้ำมันเบรกบ่อยไหม และจะยุบลงเร็วแค่ไหน

ตรวจสอบทุกครึ่ง - 1 สัปดาห์ ควรเติมให้เต็มขีดสูงสุดอยู่เสมอ
โดยปกติแล้ว ถ้าไม่มีการรั่วซึ่ม น้ำมันเบรกจะลดระดับลงช้ามาก
1-2 เดือนเติมในปริมาณน้อยมาก เพราะเป็นระบบปิด ดันไปดันมา มีลูกยางปิดหัวท้าย
ไม่ควรเติมน้ำมันเบรกข้ามรุ่นกัน เพราะไม่ทราบว่าเมื่อผสมกันแล้ว
จะทำปฏิกิริยาทางลบต่อกันหรือไม่
ถ้าน้ำมันเบรกมีการลดระดับลงเร็วกว่าที่เคย สงสัยได้เลยว่าอาจมีการรั่วซึมในจุดใด ๆ ต้องตรวจสอบหรือซ่อมแซม
ในสภาวะคับขันและจำเป็น ที่น้ำมันเบรกรั่วหรือหมดสนิทตามป่าตามเขา สามารถใช้น้ำละลายสบู่หรือผงซักฟอกเติมแทนชั่วคราว
(เพื่อมิให้เกิดสนิมง่าย) เมื่อพ้นสภาวะคับขันต้องถ่ายทิ้งให้หมดจด ซ่อมแซมและเติมน้ำมันเบรกตามปกติ
แต่โดยส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้พบสภาวะคับขันและจำเป็นถึงขนาดนั้น ใช้น้ำมันเบรกเติมตามปกติดีกว่า

จุดไหนของน้ำมันเบรกที่มักจะรั่ว
เมื่อหมดอายุ

การถ่ายทอดแรงดันด้วยน้ำมันเบรก ต้องมีลูกยางคอยรีดปิดหัว-ท้าย เพื่อมิให้มีการรั่วซึม
และมีการเคลื่อนตัวทุกครั้งที่มีการกดหรือปล่อยเบรก โดยแต่ละจุดมักมีอายุการใช้งานเกิน 2-3 ปีขึ้นไป
การรั่วซึมจึงเกิดขึ้นได้ 3 ชิ้นส่วนหลักคือ แม่ปั๊มตัวบน กระบอกเบรกที่ล้อ และท่ออ่อน
ซึ่งตัวอ่อนมักจะเกิดอาการรั่วช้ากว่า แต่ส่วนใหญ่มี 9 จุดจริงคือ 1 แม่ปั๊มบน
4 กระบอกเบรกที่ล้อ และท่ออ่อน 4 เส้น
การซ่อมแซมเมื่อลูกยางเบรกรั่ว ต้องขึ้นอยู่กับว่าจุดที่ลูกยางเบรกรั่ว ตัวผิวกระบอก ที่ลูกยางต้องสัมผัสมีร่องรอยมากหรือไม่
เพราะถ้ามีรอยมาก แม้เปลี่ยนลูกยางไปแล้ว ก็ยังรั่วจากการไม่แนบสนิทขึ้นได้ จึงต้องเปลี่ยนทั้งชุด ไม่ใช่เฉพาะตัวลูกยาง
แต่ถ้าดูแล้วพบว่าตัวผิวของกระบอกยังเรียบพอสมควร ก็ให้ใช้กระดาษทรายละเอียดขัด และเปลี่ยนเฉพาะตัวลูกยางได้
ลักษณะการซ่อมอาจต้องขึ้นอยู่กับผู้จำหน่ายอะไหล่ด้วยว่ามีการแบ่งจำหน่าย เฉพาะลูกยาง หรือต้องรวมทั้งชุด
ส่วนในกรณีที่ท่ออ่อนน้ำมันเบรกรั่ว ต้องเปลี่ยนเท่านั้น และในการใช้งานทั่วไปกับท่อยางเบรกมาตรฐานก็เพียงพอแล้ว
แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นแบบท่อหุ้มสเตนเลสถักก็ไม่มีอะไรติดลบ นอกจากเสียเงินและหาซื้อยากสักหน่อย

ที่บอกว่าควรเปลี่ยน หรือไล่น้ำมันเบรก เพื่อไล่ความชื้นออก ถ้าไม่ทำจะเป็นอะไรไหม
และถ้าจะทำเองมีวิธีอย่างไร

ถ้าไม่เปลี่ยนน้ำมันเบรกตามกำหนดที่แนะนำ และผู้ใช้รถยนต์ส่วนใหญ่ ก็ไม่ค่อยปฏิบัติกัน
ส่วนใหญ่มักไม่เห็นผลในทันที แต่ก็ทำให้ลูกยางเบรก มีอายุสั้นลงบ้าง และน้ำมันเบรกเดือดได้ง่ายขึ้น
การเปลี่ยนน้ำมันเบรกด้วยวิธีง่าย ๆ ทำได้โดยดูดน้ำมันเบรกออกจากกระปุกเดิมให้หมด
เติมน้ำมันเบรกลงไปสักครึ่ง (ถ้ามีเอบีเอสให้ถอดฟิวส์ของเอบีเอสออก) แล้วไล่น้ำมันเบรก
เหมือนกับไล่ลมออกจากระบบเบรกและย้ำหนัก ๆ จนสุดซ้ำประมาณ 10 ครั้ง แล้วกดแช่ แรง ๆ
คลายหัวไล่น้ำมันเบรกที่ล้อแล้วปิด ทำซ้ำในแต่ละล้อ 5-15 ครั้ง จนกว่านำมันเบรกใหม่ จะไหลออกมา
และต้องคอยเติมน้ำมันเบรกไม่ให้พร่องจนหมด เพราะอากาศจะแทรกเข้าไป ในระบบเบรกได้ ไล่ทำจนครบทุกล้อ
เสียน้ำมันเบรก 1-2 กระป๋อง แต่ถ้าไม่สะดวก ก็ควรใช้บริการตามอู่ ร้านเบรก หรือศูนย์บริการทั่วไปได้ ในราคาไม่เกิน 1,000
บาท

ใช้ำน้ำมันเบรกมาตรฐาน DOT ไหนดี


รถยนต์ทั่วไปใช้ DOT3-4 แต่ถ้ามีโอกาสใช้ DOT4 ย่อมดีกว่า ส่วน DOT5
นั้นยังไม่ค่อยจำเป็นเท่าไรนักสำหรับการใช้งานทั่วไป


หม้อลมเบรก แม่ปั๊มตัวบน หรือชุดเบรกที่ล้อ
ของเก่าเชียงกงน่าสนใจไหม
ส่วนใหญ่เป็นอะไหล่ของรถยนต์ญี่ปุ่น
หม้อลมเบรกเชียงกงส่วนใหญ่ มีสภาพดี น่าสนใจ
ส่วนแม่ปั๊มเบรกตัวบนหรือชุดเบรกที่ล้อก็ยังน่าสนใจพอสมควร
แต่ต้องไม่ตากแดดตากฝนจนน้ำเข้าไปกัดกร่อนชิ้นส่วนภายในได้
เมื่อซื้อมาแล้วควรถอดชิ้นส่วนและลูกยางล้างทำความสะอาดก่อนนำมาใช้งาน การเลือกของเก่าเชียงกงในกรณีนี้มาใช้
ควรกระทำก็ต่อเมื่อมีความเสียหายเกินกว่า จะเปลี่ยนเฉพาะชิ้นส่วนหรือลูกยางภายในได้

เมื่อซื้อชุดดิสก์หรือดรัมเบรกของเก่าเชียงกงมาใช้ ต้องถอดออกมาเจียร์เรียบ
ก่อนนำมาใช้เสมอไปหรือไม่

สภาพของตัวดิสก์หรือดรัมเบรกอาจมีสนิมเกาะอยู่ แต่ก็เหมือนกับ
กรณีของการเปลี่ยนผ้าเบรกคือไม่จำเป็นต้องทำเสมอไป
โดยดูให้ละเอียดว่าผิวของดิสก์หรือดรัมเบรกนั้นเรียบพอหรือไม่
ถ้าเรียบพอก็ใช้กระดาษทรายขูดสนิมออกก็พอ เพราะผ้าเบรกจะช่วยขูดต่อไปในการใช้งาน

รถยนต์ทั่วไปจำเป็นต้องเปลี่ยน ไปใช้ผ้าเบรกเกรดเอ็มไหม

ถ้าผู้ขับเท้าขวาหนักสักนิด หรือเครื่องยนต์แรงมากสักหน่อย ก็ควรเลือกใช้ผ้าเบรกเกรดเอ็ม
เพราะทนความร้อนได้สูงขึ้น แต่ในช่วงความเร็วต่ำยังทำงานได้ดี
และไม่ต้องการการอุ่นผ้าเบรกให้ร้อน

ผ้าเบรกเกรดเอ็มจะกินดิสก์หรือดรัมเบรก มากกว่าปกติไหม

เป็นไปได้ที่ผ้าเบรกเกรดเอ็มจะกินดิสก์หรือดรัมเบรกมากกว่า ผ้าเบรกพื้นฐานเกรดเอส
เพราะเมื่อผ้าเบรกต้องทนความร้อนสูงขึ้น ก็ต้องมีเนื้อแข็งขึ้น
ซึ่งมักจะมีการผสมโลหะเข้าไป แต่ก็มิได้หมายความว่าจะแข็งมาก ๆ
ส่วนใหญ่อาจขูดดิสก์หรือดรัมเบรกมากขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก